White Mustang

 

 

 

 

jiayi / yifei

 

 

 

 

 

 

WHITE MUSTANG

 

 

 

ฤดูร้อนนั้นมีความหมายเมื่อมีคุณ

ผมทิ้งตัวนอนสัมผัสกลิ่นหอมบนเชิ้ตขาวตัวโปรด

ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นของคุณ

 

 

ลมอ่อนพัดโชยมาในหนึ่งคืน

โอบกอดคุณอยู่ในความฝันนับไม่ถ้วน

 

 

เอนอ่อนทิ้งร่างไปบนเตียงเพียงเพราะการรอคอย

เก็บฝันลงไปเสีย เพราะใครต่างก็บอกว่าคุณนั้นอันตราย

แต่ตัวผมเองก็ไม่สามารถหนีไปจากคุณได้เลย

นับตั้งแต่วันที่คุณเข้ามา

 

นับตั้งแต่ที่คุณเข้ามา

 

 

the day I saw your white mustang
your white mustang

the day I saw your white mustang
your white mustang

 

 

มัสแตงคันหรูสีขาวนั่นดูสวยงามเมื่ออยู่กับคุณ

ดวงตาของผมกลับฉายภาพของคุณซ้ำไปมา

กอดผมเข้ามาแน่นๆสิ ที่รัก, แล้วบอกสิว่าคุณรักผม

 

นั่นคือสิ่งที่ผมคิด

 

 

ฤดูร้อนมอบชีวิตพร้อมกับหนึ่งความฝัน

ผมคงโง่นักที่หลงงมงายไปกับคุณ

เราต่างฟุ้งฝันไปกับความสิ้นเปลืองในค่ำคืน

 

 

แต่นอกจากผมกับคุณแล้ว

ก็ไม่มีใครกำหนดอนาคตของเราได้แล้วล่ะ

 

 

the day I saw your white mustang
your white mustang

the day I saw your white mustang
your white mustang

 

 

คุณเข้ามา เร่งเข้ามา

ไวเข้ามา เร้าดั่งใจ

 

 

มันคงฟังดูน่าหวาดกลัวใชมั้ยล่ะ ?

 

 

แล้วคุณก็เป็นเหมือนกับเครื่องยนต์นั่น

ราวกับสายฟ้าฟาดใช่มั้ยล่ะ ..?

 

 

White mustang
Your white mustang

The day I saw your white Mustang
Said you’re a wild Mustang

 

 

เข้ามาหาผมสิ

ถล่มท้องฟ้าไปเลยสิ ที่รัก 

 

เร่งให้เร็วขึ้นกว่านี้สิ 

คุณต้องทำมันออกมาดีแน่ ที่รัก

 

 

You’re gonna hit me like lightening

 

 

whitemustang.png

 

 

 

 

 

 

 

 

Out of sight

 

 

นิวยอร์ก
ปลายฤดูใบไม้ร่วง
 

 

        ผมปรายตามองภาพของถนนที่ก้าวเคลื่อนไปข้างหน้าก่อนจะกลับสู่กลายเป็นภาพย้อนหลัง แก้มข้างซ้ายปกปิดความบอบช้ำไว้ด้วยผ้าพันแผล ไม่มีเสียงของสิ่งอื่นใดๆบนรถที่กำลังขับเคลื่อนไปทางถนนทางด่วนนอกจากเสียงของเด็กผู้หญิงที่ร้องไห้อยู่บนเบาะหลังรถ

 

 

 

ผมบอกเธอไปแล้วว่าอย่าร้องไห้
แต่เธอก็ยังคงร้องไห้เหมือนเดิม
ไม่มีอะไรที่ผมช่วยได้นอกจากการปล่อยให้เธอร้องไห้ต่อไปในรถ

 

 

 

 

       พ่อขับรถไปตามถนนราวกับว่าเขาเป็นแค่คนขับรถ สายตาของเขามองตรงไปที่ภาพข้างหน้าเท่านั้น
ส่วนแม่ได้แต่มองออกไปบริเวณนอกหน้าต่างรถ ไม่มีการปริปากพูดคุยหรือสบตากันจากทั้งคู่ มีเพียงการปล่อยให้ความเงียบคลอบคลุมพื้นที่ระหว่างกัน จริงๆพวกเขาไม่ได้พูดคุยกันมานานแล้ว ผมจำไม่ได้หรอกว่ามันตั้งแต่เมื่อไร แต่มันก็นานจนผมเห็นเป็นภาพซ้ำไปซ้ำมาจนกลายเป็นปัจจุบัน

 

 

 

 

ช่วงเวลาที่ผ่านมา พ่อติดเหล้าหนักขึ้นทุกวันจนทำให้แม่ร้องไห้อยู่ตลอด

พวกเขามอบพื้นที่ของความเงียบ เยียบเย็นและเฉยชาให้แก่กันราวกับว่าเรื่องดีๆที่ผ่านมามันไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรก ความภาคภูมิใจในตัวของเขาหมดลงจนไม่เหลือสภาพ ของเหลวจากขวดเหล้าเท่านั้นที่จะเติมเต็มชีวิตของพ่อได้ พวกมันถูกทิ้งให้เกลื่อนกล่านไปตามพื้นห้องของอพาร์ทเม้นท์เล็กๆ กลิ่นของแอลกอฮอลล์ส่งกลิ่นฟุ้งไปทั่วจนผมคิดว่าจมูกผมน่าจะพังในเร็ววัน

 

 

“เธอน่ะเหมือนโสเภนีที่ทำตัวสนิทกับพวกคนดำ” เสียงของเขาเปรยขึ้นจากความทรงจำ

 

แม่ร้องไห้ไม่หยุดเพราะเธอรู้ว่าต่อให้เธอพูดอะไรออกไปเขาก็คงไม่ฟังอยู่ดี

 
      คำด่าทอของพ่อทำให้ผมกับโซเฟียนอนไม่หลับราวกับว่าต้องตื่นมาเจอกับฝันร้ายทุกค่ำคืน
แม่รู้ว่าเขาไม่ชอบพวกคนผิวสีเท่าไรนักแต่ชายดังกล่าวก็เป็นเพียงเพื่อนของเธอ เธอบอกว่ามันเป็นการเข้าใจผิดและเขากำลังไร้สติ

 

 

พ่อเลิกให้ความสนใจกับแม่และเดินเข้ามาในห้อง สายตาแข็งกร้าวสอดส่องมาที่ผมและน้องสาว ความอึดอัดบีบคั้นทำให้ความรู้สึกของห้องนี้แคบลง ผมพยายามเอาตัวบังโซเฟียไว้จากความโกลาหลตรงหน้า ดวงตาคู่สีทองประกายแดงจ้องกันอย่างแข็งกร้าว ฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์บรรจงฝ่ามือตบใบหน้าผมเข้ามาด้วยความเดือดพาล แก้มซ้ายของเด็กชายขึ้นสีแดงก่ำจนเหมือนถ่านร้อน

 

และเสียงร้องไห้ของเด็กผู้หญิงก็ดังขึ้นจากความกลัว

 

 

 

ผมคิดว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ทำไมผมกลับถึงได้รับสิ่งนี้
หรือพ่อไม่เคยรักผมหรือแม้กระทั่งแม่และโซเฟีย

 

 

เป็นคำถามที่ผมถามตัวเองอยู่ตลอดจนถึงวันที่ผมจะนั่งอยู่ในรถคันนี้เป็นวันสุดท้าย

 

 

ถ้าหากการมีอยู่ของผมเกิดมาจากการไม่ตั้งใจของพวกเขา
ถ้าหากผมเลือกได้ ผมก็คงไม่อยากเกิดมา

 

 

 

/

เก้านาฬิกาแปดนาที พ่อขับรถมาจอดลงที่สนามบิน JFK ณ นิวยอร์ก

 

 

        แม่เปิดประตูรถลงมาพร้อมกับเลื่อนกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ผมหยิบสัมภาระของตัวเอง ตรวจเช็คทุกอย่างโดยไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกไปก่อนจะมองโซเฟียในสภาพหลับปุ๋ย เธอร้องไห้จนหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า สภาพหัวใจของเธอคงจะบอบช้ำและเต็มไปด้วยน้ำขัง ผมหวังว่าเมื่อเธอลืมตาขึ้นมา ความบอบช้ำเหล่านั้นจะหายไปเหมือนกับสิ่งที่ผมคิดว่าเมื่อตัวผมตื่นมาในทุกๆเช้า 
ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นการปลอบใจตัวเองโง่ๆก็เถอะ

 

 

พ่อไม่ได้ลงมาจากรถแม้แต่ว่าจะกล่าวอำลาหรือบอกให้โชคดี ริมฝีปากของเขาเงียบนิ่งเป็นเส้นตรง

 

ผมเงยหน้าสบดวงตาคู่สีเดียวกันของผมกับพ่อ
หวังว่าผมจะลืมแววตาคู่นี้ได้สักวันแม้มันจะเป็นสีเดียวกับดวงตาของผม
และเมื่อเสียงประกาศไฟล์ทจากนิวยอร์กสู่ลอนดอนดังขึ้น
ผมสะพายกระเป๋าและปรายตามองรถคันเดิมที่คุ้นเคยขับเคลื่อนออกไปเรื่อยๆ

 

 

และผมหวังว่ารถคันนั้นจะไม่ขับกลับมาหาผมอีก

 

 

alexkidd.png

► Alexis Trevor

 

 

AlexEHW

 

 

Name :  อเล็กซิส เทรเวอร์ (อเล็กซ์)

Sex : ชาย

Age : 16       Blood status : เลือดผสม

Hogwarts : สลิธธีริน ปี 6

Blood : O       H/W : 188 / 85

DOB :  28 / 04 / 2002

Eyes :สีทองประกายแดง  Hair : สีดำปนน้ำตาล

Pet : หมาพันธ์ปั๊ก  ชื่อ  เจสัน

Patronous : จระเข้

Wand : ไม้ฮอว์ทอร์น เอ็นหัวใจมังกร inflexible / 10 นิ้ว 

 

ประวัติ :

 

  • อเล็กซิส หรืออเล็กซ์ เทรเวอร์ เกิดที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แม่ของเขาเป็นมักเกิ้ล ส่วนพ่อของเขาเป็นอดีตนักเรียนจากอิลเวอร์มอนีและทั้งคู่แยกทางกันตั้งแต่เขายังเด็ก อเล็กซ์จึงอาศัยอยู่กับแม่ในแฟลตเล็กๆจนกระทั่ง แฟรงค์ เพื่อนสนิทของแม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในการดูแลอเล็กซ์สำหรับการเรียนที่ฮอกวอร์ตตอนที่อเล็กซ์อายุได้ 9 ขวบก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ , แฟรงค์เป็นชาวอเมริกันผิวสีที่อาศัยอยู่ในลอนดอนและเคยเป็นอดีตนักเรียนฮอกวอร์ต และเป็นพ่อหม้ายไม่มีลูกหรือญาติมากมายนัก สำหรับเขาแล้วอเล็กซ์เหมือนกับเป็นลูกชายของเขาเลยทีเดียว

 


 

บุคลิก / นิสัย :

 

  • มีลักษณะที่ค่อนข้างเงียบนิ่ง และดูไม่ค่อยสุงสิงหรือแสดงอารมณ์ร่วมกับคนอื่นๆเท่าไร เขามีใบหน้าที่ดูเบื่อหน่ายกับโลกอยู่ตลอดเวลา สำหรับเขาแล้วมันก็เป็นเพียงหน้าของเขา
  • ค่อนข้างที่จะ Grumpy
  • แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้รับฟังคนอื่นหรือรังเกียจคนรอบตัวอย่างไม่มีเหตุผล
  • เป็นคนจริงจังเวลาที่จะทำในสิ่งที่ตนตั้งเป้าหมายหรือสนใจไว้ในระดับหนึ่ง
  • สมัยเด็กๆชอบมีเรื่องชกตีกับคนอื่นๆ แต่พอโตมาเขาก็มีเรื่องกับคนอื่นน้อยลง เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องเสียเวลา / เว้นแต่ว่าเวลาที่ความอดทนหมดลงจริงๆเท่านั้น เพราะจริงๆแล้วก็ไม่ยอมคนง่ายๆ
  • ไม่ใช่คนที่โง่แต่ก็ไม่ใช่คนที่ฉลาดพอจะรู้ทุกอย่าง เขาแค่ขี้เกียจไปหน่อย
  • บางครั้งก็ชอบเก็บอะไรไว้คนเดียว ไม่ค่อยพูดถึงความรู้สึกนักถ้าไม่อยากพูด
  • เป็นคนหงุดหงิดง่ายแต่ไม่ได้เกลียดคนง่าย เพราะไม่ชอบเอาตัวเองไปหมกมุ่นกับเรื่องที่ไม่จำเป็น  
  • ปกติมีเรื่องอะไรก็จะช่วยแต่เขารู้ว่าตัวเองไม่ได้ดูเป็นมิตรกับคนอื่นเท่าไร เลยไม่ค่อยสร้างความสัมพันธ์กับใครนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องการที่จะอยู่กับคนอื่น
  • ไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่งกับสิ่งที่เป็นของตนเองเท่าไร

 

ความชอบ / ไม่ชอบ / สิ่งที่ถนัด / ไม่ถนัด :

 

  • ชอบสถานที่เงียบๆ เช่น ที่สูง เวลาที่บินอยู่บนไม้กวาด หรือตอนที่อยู่ในน้ำ
  • ชอบกินเนื้อเป็นพิเศษ หากเป็นเนื้อสเต๊กชอบระดับที่สุกไปจนถึง rare
  • ไม่ได้เกลียดการกินผัก แต่เกลียดผักชนิดที่ว่าขมมากๆ
  • ชอบดื่มมิ้ลค์เช๊ค หรือเครื่องดื่มพวกจำพวกนม
  • ไม่ชอบกินวิปครีม
  • ไม่ชอบคนน่ารำคาญและดูกวนประสาท รวมถึงการถูกรบกวน
  • ไม่ค่อยชอบน้ำอัดลม แต่ก็ดื่มได้ / ชอบดื่มโซดามากว่า
  • ถนัดการบินด้วยไม้กวาด ทักษะการป้องกันตัวเอง / การปีนป่ายและว่ายน้ำ
  • ไม่ถนัดวิชาคณิตและการคำนวณ วิชาท่องจำยากๆ เช่น ปรุงยา
  • ถนัดวิชา ป้องกันตัวจากศาสตร์มืด แปลงร่างและคาถา

 

Etc.

 

  • มีน้องสาวหนึ่งคน แต่อยู่ที่อเมริกากับพ่อที่แยกทางกันไป ชื่อโซเฟีย เทรเวอร์
  • ตอนเด็กๆมักใช้เวลาไปกับการวาดรูปเมื่ออยู่กับตัวเอง แต่พอโตมาก็ไม่ค่อยได้วาดเท่าไร
  • ชอบว่ายน้ำ ตอนเด็กๆมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการว่ายน้ำ
  • พยายามที่จะกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อตัวเองอยู่  แม้จะต้องฝืนกินก็ตาม
  • ปัจจุบันแม่ของอเล็กซ์ อาศัยและทำงานอยู่ที่อเมริกา เธอทำงานเป็นช่างซ่อมแซมเสื้อผ้าและคนดูแลความสะอาดตามโรงแรม,คาสิโนใน Las Vegas

 

 

Twitter : EHW_Axis


► Bella Boyd

 

 


bell2017
Name : Bella Boyd (เบลล่า บอยด์)
Sex : หญิง
Age : 17 Blood status : เลือดบริสุทธิ์
Hogwarts : สลิธธีริน ปี6 > ปี 7
Blood : AB
H/W : 178 cm /60 kg
DOB : 13 มีนาคม 2001
Eyes : สีเทา
Hair : สีดำประกายม่วง (เป็นผลมาจากการย้อมสีผมยาวนานเป็นปี ทำให้เผลินๆเหมือนสีดำสนิท แต่เมื่อกระทบกับแสงจะเห็นสีม่วงชัดขึ้น )
Pet : สุนัขพันธ์ โดเบอร์แมน ชื่อ บลู๊คลิน
Patronous : งู
Animagus : เสือดำ

Wand : ไม้ไพน์ เอ็นหัวใจมังกร ยาว 12 นิ้วครึ่ง flexible
Bio :
เบลล่า บอยด์ หรือ เบลล์ เกิดที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เธอเป็นเด็กสาวสัญชาติอเมริกัน (อเมริกัน-ฝรั่งเศส) ครอบครัวของเธอล้วนเป็นเลือดบริสุทธิ์และมีฐานะที่ค่อนข้างดีผลจากการทำธุรกิจในสังคมเครื่องสำอางค์และสกินแคร์ของมักเกิ้ลที่อเมริกาและผลกอบกู้จากอดีตกาล เมื่อกาลเวลาผ่านไปถึงปัจจุบันก็เริ่มมีถิ่นฐานครอบครัวมาตั้งอยู่ที่เกาะอังกฤษ เธอได้รับการประคับประคอง อบรมและเลี้ยงดูอย่างดีในฐานะลูกสาวคนเดียวของพวกเขา จนเมื่อถึงเวลาที่เธอได้รับการศึกษาในฮอกวอร์ต พวกเขาเริ่มที่จะเคร่งครัด คาดหวังและค่อนข้างเป็นห่วงในตัวเธอ และเมื่อเบลล์เติบโตขึ้น เธอก็ไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบที่พวกเขาหวังไว้มากนัก เธอจึงไม่ใช่เด็กที่อยู่ในขอบเขตตลอดเวลาหรือติดพ่อหรือแม่เท่าไร เพียงแค่ว่าเธอต้องการพื้นที่ส่วนตัวและอิสระในการจัดการเรื่องของตัวเองเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นในปัจจุบัน เบลล์ก็ไม่ได้มีปัญหารุนแรงกับครอบครัวแต่อย่างไร


  • Personality :
  • ลักษณะดูสุขุม แต่จริงๆก็มีอารมณ์ขันและร่าเริง พื้นฐานแล้วก็ดูเป็นมิตรกับสิ่งรอบตัว
  • เลือกที่จะประพฤติและวางตัวในแบบที่เป็น โดยไม่รู้สึกเสแสร้งหรืออึดอัดต่อคู่สนทนาและคนรอบข้าง
  • ให้เกียรติกับคนที่ให้เกียรติตน
  • ความอดทนเป็นสิ่งแรกเมื่อเกิดโทสะ แต่บางครั้งก็ดูตลกร้ายด้วยวาจาและการกระทำ ซึ่งเป็นผลมาจากการจงใจหรือไม่ได้จงใจก็ตาม
  • จริงๆแล้วถนัดกิจกรรมผาดโผน และรักอิสระ
  • แน่นอนว่าเธอเคยชินกับการอยู่กับมักเกิ้ล เธอจึงไม่ใช่เลือดบริสุทธิ์ที่รังเกียจมักเกิ้ล แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ใช่จะเห็นด้วยกับเรื่องของมักเกิ้ลทุกอย่าง อ้อ ใช่แล้ว เรื่องของผู้วิเศษและพวกเลือดบริสุทธิ์ก็เช่นกัน
  • จริงๆก็เป็นคนตลกในระดับหนึ่ง

Like/Hobby

  • การดูแลตัวเอง เช่น การออกกำลังกายและฝึกสมาธิ ดูแลผิวของเธอและการแต่งหน้า
  • เครื่องสำอางค์ สกินแคร์ 
  • แฟร์ชั่น
  • อะไรที่สดใหม่ เช่น ขนมปังที่เพิ่งอบร้อนๆ , อาหารที่ไม่ถูกทิ้งไว้จนเย็นและเสียรสชาติ
  • สบู่หรือน้ำหอม ที่มีกลิ่นหอมไม่ฉุนจนเกินไป
  • ชอบอะไรที่เป็นศิลปะ ดนตรี แฟร์ชั่นและการเต้น (like choreography)
  • สนใจวิชาการด้านสังคมและปรัชญา
  • ถนัดวิชา ดาราศาสตร์ วิชาคาถาและการป้องกันตัวจากศาสตร์มืด

adore :

  • สิ่งของที่ทำมาจากกุหลาบ เช่น กาแฟลาเต้กลิ่นกุหลาบ แยมกุหลาบ หรือเครื่องสำอางค์ที่มีกลิ่นกุหลาบ จะชอบเป็นพิเศษ
  • เครื่องสำอางค์ หรือสกินแคร์ organic / nature มาจากธรรมชาติ
  • // somekind of healthy food but still love red meat anyway
  • ศิลปินที่ชอบเป็นพิเศษคือ lana del rey 

Dislike

  • ของที่หวานมากมาก มากเกินไป
  • เวลาที่รู้สึกว่าหน้าตัวเองไม่สะอาด
  • คนไม่รู้จักมารยาท
  • เยลลี่เบอร์ตี้บอตรสแปลกๆ
  • ไม่ถนัดวิชา ตัวเลขมหัศจรรย์ ประวัติศาสตร์เวทมนต์และพยากรณ์

ETC

  • สมัยเด็กๆเคยเรียนเปียโน วาดภาพ ศิลปะการเต้นและร้องเพลง
  • พ่อแม่เคยส่งไปเรียนทักษะบัลเล่ต์ในสมัยเด็กเช่นกัน แต่พอโตมาก็ไม่ได้ทำอะไรต่อกับมันเท่าไร
  • ไม่ค่อยไว้เล็บ เมื่อเล็บยาวเมื่อไรก็จะตัดออกเนื่องจากทำกิจกรรมอื่นๆไม่ค่อยถนัด แต่ถ้าไม่ได้ทำอะไรก็อยากจะไปทำเล็บ
  • มักจะใช้สำเนียงอเมริกันมากกว่าสำเนียงฝรั่งเศส
  • เธอค่อนข้างไส่ใจกับการดูแลตัวเองโดยเฉพาะเรื่องผิวและรูปร่างเป็นพิเศษ

Twitter : EHW_Bella

Vivid

 

 

img_-ijo8c9-539999602.jpg

 

 

liam / aine

 

 

 

 

ผมทิ้งความเปลี่ยวว้างลงไปในตัวโน๊ตตัวแรก

 

 

 

ภาพฝันของผมถูกบรรเลงลงไปพร้อมกับเสียงเปียโน

เสียงของโน๊ตตัวแรกนั้นดูว่างเปล่า

แต่ผมก็ไม่ต้องการให้มันจบลงไปอย่างโดดเดี่ยว

 

 

ความทรงจำของผมนั้นดูบิดเบี้ยว

บางครั้งมันก็ดูสุขใจและเปร่งประกายเต็มไปด้วยสีสัน

 

 

แต่บางครั้งมันก็เหมือนกับถูกสาดด้วยสีเทาไว้แต่แรก

กลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดหรือประโยคบอกเล่าได้

 

 

ผมเห็นรอยยิ้มของคุณในสถาปัตย์ความทรงจำของผม

ผมเห็นน้ำตาของคุณที่ค่อยๆเริ่มไหลรินออกมา

และกลุ่มก้อนของความเจ็บปวดจับตัวเป็นก้อนเมฆ

หัวใจของคุณก็เหมือนกับมีฝนที่ตกลงมาเป็นเศษแก้ว

 

 

ผมเห็นภาพของคุณยิ้มและร้องไห้ไปพร้อมๆกันในวันที่คุณผิดหวัง

 

และอ้อมแขนของผมก็กอดคุณไว้ในสถานที่ที่เรียกว่าห้องดนตรี

 

 

 

 

บางครั้งคุณก็อยากจะบอกว่าคุณเหนื่อยเหลือเกิน

คุณอยากจะวิ่งหนีไปแล้วเพราะเสียงดนตรีไม่ได้ช่วยเยียวยาให้ความทรงจำของคุณจางหายไปสักนิด

 

 

 

 

คุณผิดหวังกับความคาดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

 

 

หัวใจของผมเจ็บปวดขึ้นไปทุกครั้งที่เห็นคุณเป็นแบบนั้น

 

 

 

ถ้อยคำบอกเล่ายังคงบอกว่าไม่เป็นไร 

คลื่นความรู้สึกของผมนั้นอาจจะดูนิ่งเหมือนคลื่นของทะเลในยามเช้า

 

 

แต่จริงๆแล้วน่ะมันกลับเป็นเหมือนพายุเข้า 

พัดปลิวทุกความคิดและโหมกระหน่ำความวุ่นวายเข้ามา

 

 

 

ผมแทบจะหัวเสียเกือบทุกครั้ง 

แต่ผมก็ยังพยายามที่เก็บมันไว้

จนในที่สุดผมก็รู้สึกว่ามันมากเกินไป 

 

 

มากเกินกว่าที่ผมจะรับได้  

 

 

บางทีผมก็หวังว่าตัวเองจะมีกลไกความคิดที่เรียบง่ายกว่านี้

ผมอยากจะอธิบายความรู้สึกของผมได้โดยไม่ต้องปล่อยให้มันผ่านความเงียบ

ผมอยากจะไม่ต้องยิ้มเมื่อผมรู้สึกเศร้า

หรือบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไรเมื่อทุกอย่างกลับพากันทิ่มแทงลงมาตรงกลางอกของผม 

 

 

 

นั่นแหละ

ผมไม่ต้องการเห็นคุณมีความเจ็บปวดเลยสักนิด

 

  

 
ผมปล่อยให้เข็มนาฬิกายังคงขยับเดินต่อไป

ฤดูกาลเปลี่ยนไปเป็นหนึ่งและสองฤดู 

หิมะจากกิ่งไม้ละลายหายไปจนดอกไม้ที่ถูกฝังไว้ภายใต้ผุดออกมา แสงแดดแรกเข้าที่เห็นเกือบในทุกเช้ายังคงให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ราวกับว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกเดิม

 

 

แล้วเมื่อผมเติบโตขึ้นอีกครั้งไม่ใช่แค่ตัวเลขของอายุที่เพิ่มขึ้น

ผมแทบจะลืมไปว่าความรักจะแปรผันกลายเป็นความเจ็บปวดในวันข้างหน้า

ผมแทบจะลืมไปแล้วว่ากำแพงของความกลัวนั่นสูงขนาดไหน

 

มันคงไม่สูงเท่าตอนที่ผมถอยห่างออกจากคุณไป

แต่มันก็ไม่ได้บดบังตัวผมอีกต่อไปแล้ว

 

 

มันทำให้ผมเห็นคุณ 

มันทำให้ผมเดินไปหาคุณ

 

 

มันทำให้ผมพบกับคุณอีกครั้งที่ไม่ใช่แค่การพบหน้ากัน

มันทำให้ผมกล้าที่จะหยิบยื่นชิ้นส่วนของหัวใจออกมาใช้ 

 

 

แม้ผมจะรู้ว่าหัวใจของผมน่ะ มันไม่ได้เข้มแข็งเท่าไร

แต่ผมก็ยังหยิบยื่นมันออกมาให้กับคุณอยู่ดี 

 

 

ผมอยากจะรับตัวคุณเข้ามากอดเอาไว้

ผมอยากจะกอดคุณในอ้อมแขน

 

ผมอยากจะรับความเจ็บปวดเหล่านั้นเข้ามา

แม้ผมจะรู้ว่าตัวผมหรือคุณจะเจ็บปวดไปมากกว่านี้

และสิ่งที่จะต้องเจอในวันข้างหน้าไม่ได้มีแค่เรื่องความรัก 

 

 

ผมเชื่อว่ามันมีมากกว่านั้น 

มันมีมากกว่าที่สองตาจะมองเห็น

มันมีมากกว่าที่คนๆหนึ่งจะรับรู้มันได้ทั้งหมด

 

 

และผมยังคงไม่บอกว่าผมจะเข้าใจมันหรอก

แต่ผมจะพยายามเรียนรู้มันไปเรื่อยๆ

 

 

เพราะผมยังอยากให้คุณเห็นความสวยงามในตัวคุณและโลกใบนี้เหมือนที่ผมเห็น

 

เพราะผมยังเห็นความสวยงามของสิ่งเหล่านั้น 

มันไม่ใช่ความสวยงามที่สมบูรณ์แบบตรงไหนหรอก

มันคือความบกพร่องและความบิดเบี้ยวของจิตใจ

 

 

แต่มันก็ยังพยายามที่จะขับเคลื่อนให้กลายเป็นความสมบูรณ์แบบ

เป็นความสวยงามไร้ที่ติอย่างที่ใครสักคนคาดหวังให้มันเป็น

 

แม้ความหวังของมันจะเริ่มต้นด้วยศูนย์และรู้ว่ามันจะไม่มีทางเป็นไปได้

แต่มันก็ยังคงสวยงาม 

 

 

 

และบางครั้ง

 

 

การได้พบกับคุณคงจะเป็นความสวยงามในชีวิตของผม

 

 

 

 

 

 

 

Paper Airplane

 

 

 

liam / aine

 

 

 

 

paperairplane

 

 

2016

ฤดูใบไม้ร่วง

 

 

ผมจำรายละเอียดของคุณได้

 

 

เราคุยกันครั้งแรกผ่านจดหมายที่ถูกส่งห่างกันแค่ไม่กี่เมตรของฝากโต๊ะ

คุณเป็นนักเรียนร่วมชั้นปีเดียวกับผมที่จะจบการศึกษาในปีหน้า

เราพบกันเกือบตลอดในชั้นเรียน

 

เราเดินผ่านกันในห้องโถงรวม ห้องสมุด และแม้กระทั่งในงานสังสรรค์ในช่วงปีที่ผ่านมา

หรืออาจจะเป็นผมเองที่นั่งมองเวลาคุณกำลังตักสตูว์เข้าปากและเล่นกับแมวในยามที่เบื่อ

 

 

 

 

 

บนโลกนี้ก็มีวิธีเริ่มทำความรู้จักหรือทักทายกับใครสักคนหลายวิธีอยู่นะ

 

 

“สวัสดีครับ”

“วันนี้อากาศดีนะ”

“คุณชื่ออะไรเหรอครับ”

“ชอบเดอะคิลเล่อร์หรือโคลด์เพล์ยมั้ย”

 

“ยินดีที่ได้พบคุณนะ”

 

 

ให้ตาย

บทสนทนาสุดจะเรียบง่ายราวกับว่ามันอยู่ในหน้าแรกๆของหนังสือเรียนภาษาระดับเริ่มต้น

 

 

ผมได้แต่ขำ แต่ก็ปล่อยมันผ่านไป

 

 

ผมเริ่มฉีกหน้ากระดาษจากสมุด ปล่อยให้สีดำจากปลายดินสอเริ่มขีดเขียนข้อความสั้นๆลงไป

ก่อนจะใช้ฝ่ามือทาบลง กรีดกราย พับมันจนกลายเป็นจรวดทรงกระดาษ

และปล่อยมันบินไปหาคุณ ผู้อยู่ตรงข้ามฝากโต๊ะ

 

ใช่ ฝากโต๊ะนั่นแหละ เราอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่เมตร

 

 

ระหว่างโต๊ะที่มีผืนผ้าสีน้ำเงินและสีเขียวที่แยกกลุ่มนักเรียนเอาไว้

 

 

ผมอยู่จากฝั่งที่มีสีน้ำเงิน ส่วนคุณอยู่ในฝั่งที่มีสีเขียว

 

 

เอาจริงๆ คุณไม่ได้อยู่ในโลกสีเขียวทั้งหมดหรอก มันเหมือนสีขาวจางๆมากกว่า

 

ถ้าคุณไม่รู้สึกว่าตัวเองว่างจริงๆ หรือกลัวรับไม่ได้ที่คนแถวนั้นจะมองแปลกๆ

ผมก็ไม่ค่อยแนะนำวิธีนี้หรอก

นอกจากมันจะบินว่อนข้ามเฉียดข้ามหัวคนอื่นแล้ว มันอาจจะส่งไปไม่ถึง โดนคนจับไว้

 

หรือถูกพัดเพไปตามทิศทางอื่น ขาดอากาศนำพาและตกลงไปในที่สุด

 

หรือจริงๆอาจจะไม่มีใครเปิดอ่านข้อความที่มากับจรวดด้วยซ้ำ

 

 

 

แต่โชคดีของผมคงจะเป็นเพราะคุณเปิดอ่าน

 

 

จดหมายทรงจรวดที่มีข้อความว่า “สวัสดี” อยู่แค่นั้น

 

เราคุยกันผ่านจดหมาย และส่งมันกลับไปและกลับมา

 

ผมไม่ได้ถามอะไรคุณมากคุณหรอก ผมแค่วาดรูปแมวไส่กระดาษ

แล้วคุณก็บอกว่าน่ารักดี

 

ผมแค่หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น เป็นแบบที่เรากำลังทำ

 

 

 

แต่ไม่นานนักคุณก็ละออกจากบทสนทนาผ่านจดหมายนั่น

ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะ

และเดินออกมาจากผืนโลกสีเขียวตรงนั้น

 

คุณ

คุณ

คุณ

 

 

คุณได้เหยียบย่ำเข้ามาในโลกสีน้ำเงินของผม

 

 

 

 

Just a few seconds

 

a0967211c85c4b644508667947549e80

 

dear mother

 

 

2017

ไบร์ทตัน อังกฤษ

    

ผมหลับตาลงและลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง กลิ่นคลื่นลมทะเลแตะปลายจมูก 

ลมหนาวอ้อยอิ่งพัดปลิวมาสัมผัสผิวแก้มและฝ่ามือของผม

ใบไม้หนึ่งใบร่วงโรยมาจากกิ่งก้านของมันและแตะลงพื้นดินอย่างเรียบง่ายโดยไม่มีอะไรไปเร่งเล้ามัน แสงแดดจากดวงอาทิตย์เล็ดลอดผ่านมาทางต้นไม้จนเกิดเป็นเงาของพื้นผิวจากใบไม้ น่าเสียดายที่ความอบอุ่นไม่มีอยู่ในที่นี้  

ผมผ่อนลมหายใจอย่างแผ่วเบาจนเกิดเป็นไอจางๆปรายตามองภาพตรงหน้า 

ภาพที่ผมเหมือนจะเห็นทุกครั้งเมื่อมีการกลับมา จากไป ความทรงจำก่อตัวขึ้นราวกับเศษซากสถาปัตยกรรมในอดีตที่ถูกนำมาประกอบอีกครั้ง แสงแดดที่ทำให้ผมนึกถึงใครสักคนในช่วงไม่กี่วินาที 

 

ไม่กี่วินาทีเท่านั้น    

 

 

เอเวอลีน

        ผมคิดโทษตัวเอง เมื่อผมเกือบจะลืมไปแล้วว่าดวงตาของคุณคือสีอะไรมันควรจะเป็นสีเขียวอมฟ้าทะเลหรือสีฟ้า ในตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าทำไมเส้นผมของคุณถึงเป็นสีบลอนด์และในบางเวลาจึงเป็นสีขาวนวลราวกับชาเอิร์ลเกร์ยที่เติมนมลงไป เส้นผมยาวอ่อนนุ่มของคุณพัดปลิวไสว มันนุ่มนวลและเอนอ่อนไปตามสายลม จนถึงตอนนี้ผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมจึงเป็นเหตุนั้น  แต่นั่นก็ไม่ได้รบกวนอะไรผมเลยสักนิดในช่วงเวลาที่ผ่านมา

 ถึงครั้งนั้นเมื่อแสงแดดกระทบลงดวงตาและเส้นผมของคุณ มันทำให้ผมนึกภาพเด็กผู้หญิงในทุ่งหญ้าคุณเป็นคนอ่อนโยนแต่ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่เข้มแข็งเลย ไม่สิ คุณเป็นคนที่เข้มแข็งมากมากถึงมากที่สุด สัมผัสจากฝ่ามือและรอยจูบแผ่วเบาของคุณทำให้ผมนึกถึงแสงแดดอ่อนๆ และวันสุดสัปดาห์ในฤดูใบไม้ผลิ แม้ว่าความหนาวของหิมะจะกัดผิวของคุณจนเกิดเป็นรอยแสบแดงบนฝ่ามือ แต่คุณกลับทำให้ฝ่ามือของผมอบอุ่นอยู่เสมอเอเวอลีน คุณทำได้อย่างไร

 

และวันหนึ่งในฤดูหนาวก็กลับมาวันที่ไร้ซึ่งแสงแดด มีเพียงหิมะที่ตกหนัก หนักขึ้นและหนักขึ้น

สีขาวโพลนของความเหน็บหนาวครอบคลุมไปทั่วพื้นถนนและแม่น้ำริมธารกลายสภาพเป็นน้ำแข็ง มันทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วผมได้ฟังประกาศจากวิทยุว่าจะมีพายุหิมะเข้า ผมมองภาพตรงหน้าผ่านทางหน้าต่างทุกอย่างแทบจะขุ่นมัวจากกาฬวาต แสงจากเสาไฟกระพริบอย่างถี่ๆและดับลง สิ่งที่เห็นผ่านตาจากภายนอกนั้นทำให้ผมนึกถึงจอโทรทัศน์ที่ไร้ซึ่งสัญญาณ และการถูกตัดขาด เสียงของลมพัดกระโชกและแรงขึ้นเรื่อยๆ 

เอเวอลีน คุณอยู่ที่ไหน 

ผมคิด และปรายตามองอารมณ์โกรธของใครสักคนที่ระบายไปผ่านพายุผ่านจากทางหน้าต่าง เข็มนาฬิกาขยับจากวินาทีกลายเป็นนาที จากนาทีกลายเป็นชั่วโมง ไม่มีวี่แววว่าคุณจะกลับมา ผมได้แต่คิดและใช้ช้อนคนซุปมันฝรั่งในชามจนเย็นตัวลง

 

ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนอนกับเตียงที่ยังคงมีกลิ่นของคุณ

 

และได้แต่เพียงเฝ้ารอ

จนไม่รู้ว่าตัวผมเองหลับไปตอนไหน

 

 

 

 

เสียงระฆังจากนาฬิกาก็ตีดังขึ้นมันดังมาจากโบสถ์ในระแวกนั้น

ฝูงนกแยกตัวและบินกระจัดกระจายกันตามไป

 

ผมกลับมาแล้ว ผมกลับมาก็ได้ ยอมรับว่ามันไม่ได้เป็นแค่ “กี่วินาที”

คุณคงรู้ว่าผมหมายถึงอะไร

ผมผ่อนลมหายใจออกมาเบาเบา

เงยหน้าขึ้นสบตากับนกพิราบที่บินอยู่เหนือท้องฟ้าสีเทาก่อนจะกลับที่องศาเดิม

 

มือหนาถือช่อดอกไม้ที่ถูกตกแต่งด้วยลายลูกไม้สีขาวห่อด้วยพลาสติกใสอย่างดี

ผมไม่ทราบหรอกว่าคุณชอบดอกไม้แบบไหนหรอก

ผมคิดแทนคุณไปแล้วล่ะว่าคุณคงจะชอบมัน

 

น่าตลกดี 

 

ผมได้แต่ยืนขำและยิ้มอยู่แบบนั้นตรงหน้าแท่นหินและท้องฟ้าที่เป็นสีเทา

 

ถ้าคุณมาเจอผมเลยตอนนี้มันก็คงจะดีนะเอเวอลีน

ผมไม่ทราบและไม่เคยทราบเลยตั้งแต่วันที่พายุหิมะเข้า

ตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาคุณอยู่ที่ไหน

 

แต่ผมก็เลิกถามตัวเองไปนานแล้วแหละ

ถึงอย่างไรผมก็คงอยากจะพบคุณอยู่ดีนะ

 

ผมวางช่อดอกไม้ลงบนแท่นหินตรงหน้า

แผ่นหินของสุสานถูกสลักชื่อไว้ว่าเอเวอลีน เจ. วิลสัน

 

ผู้เป็นที่รัก

 

ก่อนจะเดินหันกลับไปทางประตูทางออกของสุสาน

เศษใบไม้สีแดงปะปนกับสีส้มปลิวว่อนบางเบาไปกับสายลม

ก่อนจะลับตาหายไป

เหมือนกับความอบอุ่นที่ถูกความหนาวพัดพาไป

 

เหมือนกับคุณที่ไม่อยู่ตรงนี้

 

 

Another Rainy Day

วันฝนตกอีกวัน

C3_9SVjUEAAsE9o (1)

ทุกอย่างเกิดขึ้นในวันที่ท้องฟ้าเป็นสีเทา

     เม็ดฝนตกลงมาท้องฟ้า จากหนึ่งเม็ด กลายเป็นสองและสาม หลังจากนั้นก็กลายเป็นจำนวนที่ไม่มีใครนับมันได้

     เสียงสายฝนกระทบกับผืนร่มดังเปาะแปะ รองเท้าหนังย่ำลงกับพื้นถนนคอนกรีต ปะปนกับเสียงเฉอะแฉะของฝนที่ตกลงมาระคนกัน เหตุใดวันนี้ฝนจึงตก เขาคิด  ไปในขณะฟังเสียงคลื่นจากริมทะเลของเมือง และในขณะที่สายฝนกำลังมอบรอยจูบให้กับผืนดิน

ความหนาวและเมฆหมอกที่มาเยือน ทำให้กระจกเลนส์แว่นตาของใครสักคนขึ้นเป็นฝ้า

ใครสักคนที่ยังเป็นเพียงชายวัยกลางคน ใครสักคนที่กำลังก้าวเดิน  

    สีเทากัดกินภาพตรงหน้าจนกลายเป็นความเรือนลาง ราวกับว่าถนนที่เขาเดินมาตลอดนั้นไม่มีอยู่จริง ราวกับว่านี่ไม่ใช่ทั้งกลางวันและกลางคืน ราวกับว่าเขาไม่ได้อยู่ในที่ใด เขาหยุดเดินครู่หนึ่ง และหยิบผ้าผืนเล็กออกมาเช็ดแว่นตาของตน และสวมใส่เข้าไปใหม่ ก่อนจะก้าวเดินต่อไปในทะเลสีหมอก

    รอบตัวเขาเป็นตึกของร้านขายของ และแมนชั่นที่ดูไม่ใหญ่โตมากนัก ผู้คนไม่ได้ออกมาข้างนอก และไม่มีรถยนต์ออกมาสัญจร มีเพียงเขาที่กำลังก้าวเดินไปตามลำพัง มีเพียงความเงียบที่วนเวียน และมีเพียงสายฝนที่รับฟัง เขาเดินไป และเดินไปจนสุดทางก่อนจะพ้นจากตึกเหล่านั้น ขาทั้งสองบิดเลี้ยวตรงเข้ามาในตรอกซอยแห่งหนึ่ง แสงสว่างจากเสาไฟไม่ได้ช่วยให้ความเรือนลางจางหาย แต่กลับทำให้เห็นอาคารใหญ่โตปรากฏขึ้นมาจากที่ไกลๆ สภาพสิ่งก่อสร้างนั้นเก่าล้าไปตามกาลเวลา แต่ก็ไม่ได้แย่เกินกว่าที่จะไม่มีใครอาศัยอยู่ รอบข้างเผยให้เห็นกำแพงอิฐและรั้วเหล็กสีดำที่ปนเปื้อนไปกับสีของสนิม มันถูกกัดกินไปพร้อมกับสายฝนและการเปลี่ยนแปลง ชายผู้นั้นหยุดเดินและหุบร่มลง เขาถอดหมวกทรงสูงสีดำที่เปียกไปด้วยเม็ดฝนออก เผยให้เห็นเส้นผมสีน้ำตาลที่สว่างไสวดุจแสงอาทิตย์ในวันอึมครึม และใบหน้าที่ยังดูอ่อนเยาว์ ดวงตาสีเขียวที่สะท้อนถึงธรรมชาติของโลกมองตรงไปที่อาคารผ่านรั้วเหล็กสีดำ มันอาจจะเป็นเหมือนแมนชั่นขนาดใหญ่ ศาล ธนาคารโลก โรงเรียนประจำ หรือเป็นเพียงบ้านหลังหนึ่งที่มีเด็กนับร้อยชีวิตอยู่ข้างใน

    “สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า” เขาอ่านตัวอักษรที่จับตัวเป็นคำไม่กี่คำ ไม่กี่วินาทีเขาก็ละสายตาออกโดยไม่ได้อ่านสิ่งใดต่อจากนั้น  

    ก่อนจะหายเข้าไป

       ผมก้าวเข้าไปในสถานที่ ที่ผมเคยมาเยือนแล้วครั้งหนึ่ง วันนั้นก็เป็นวันฝนตกเช่นกันและผมไม่ได้มาคนเดียว เหตุใดวันนี้จึงยังต้องฝนตกอีก ผมแอบหงุดหงิดเล็กน้อยตอนที่เดินผ่านมา เสียงฝนที่ดังจากข้างนอกกลายเป็นเบาลงจากข้างใน พื้นไม้ที่ถูกเหยียบย่ำจากรองเท้าหนังดังเป็นเสียงเอี๊ยดอ๊าด แน่นอนว่าทั้งสองมีสีเดียวกัน แสงจากหลอดไฟเป็นสีส้มปะปนและผสมกับบรรยากาศของเก้าอี้ไม้เก่า เชื่อว่าหลอดไฟน่าจะมีอายุมานานแล้ว ผมคิด ก่อนจะถอดหมวกทรงสูงและเสื้อโค้ทสีดำที่เปียกฝนออก

   “สวัสดีค่ะ.. คุณอีตัน” เสียงแหบพร่าของหญิงชราเล็ดล่อนออกมาจากมุมหนึ่งของปากประตู ก่อนที่เธอจะเดินออกมาอย่างเชื่องช้าและมองผมที่กำลังแขวนเสื้อคลุมกับเสาไม้ริมประตูทางเข้า เธออยู่ในชุดที่เหมือนกับแม่บ้านหรือพยาบาลชวนให้นึกถึงตัวละครในจอภาพยนต์สีขาวดำ   

 “เรียกผมว่า อลาสแตร์ จะดีกว่านะครับ มิสแอเดอลีน ผมไม่ใช่คุณอีตัน” ผมกล่าวด้วยใบหน้านิ่งๆก่อนครู่นึง มันยากที่จะยิ้มนักเมื่อเจอกับฝนมาเมื่อครู่แต่ผมก็ยิ้มให้เธอ  

 “แหม.. ขออภัยด้วยนะคะ” เธอหันไปทางซ้ายและเดินไปทางเคาท์เตอร์ น้ำเสียงของเธอเหมือนกำลังยิ้ม

 “วันนี้เขาไม่ได้มากับผม” ผมว่า ก่อนจะมองหน้าเธอสลับกับเส้นผมสีขาวที่สื่อว่ากาลเวลาทำหน้าที่ของมัน

 “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณอลาสแตร์” มิสแอเดอลีนว่า สีหน้าเธอดูไม่ได้ตงิดอะไรกับประโยคของผม

 “ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม ?” ผมถามเธอหลังจากที่เวลาสองเดือนก่อนได้ผ่านไป การรอคอยก็เช่นกัน

  “ค่ะ.. ทุกอย่างจะเรียบร้อย” มิสแอเดอลีนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบา เธอเปิดลิ้นชักตรงหน้าออก พลางใช้นิ้วเกลี่ยเอกสารที่อยู่ในนั้น  

   ผมมองเธอที่กำลังค้นเอกสารผ่านกระจกเลนส์แว่นตา เสียงเข็มนาฬิกาดังเป็นจังหวะของการเคลื่อนไหว ผมหันไปมองตัวเลขและเข็มนาฬิกานั้นจากมุมต่ำ คงจะเป็นเวลาที่เหมาะแก่การทานมื้อเย็น ผมคิดในใจ แน่นอนว่าไม่นานผมก็ได้ยินเสียงบทสวดมนต์ในขณะที่มิสแอเดอลีนยังคงหาเอกสารอยู่ เสียงของส้อมและใบมีดกระทบกับผืนจานไป แต่ไม่ใช่แค่เพียงคนเดียว หรือสองคน กลับเป็นเสียงของกลุ่มคนที่กำลังทานอาหารอยู่ข้างใน ผมไม่รู้หรอกว่ามาจากส่วนไหนของตึกนี้ เท่าที่ผมรู้คือ พวกเขากำลังทานอาหารเย็นอยู่ และผมหวังว่า เขา จะทานอาหารอยู่เช่นกัน

   ผมละสายตาจากมิสแอเดอลีน และแหงนหน้ามองระเบียงไม้ชั้นบน มันดูเหมือนจะผุพังแต่กลับไม่ผุพัง ผมได้ยินเสียงเหมือนมีหนึ่งหรือสองชีวิต กำลังกระโดดอยู่ข้างบน มันดัง ตึ่ก ตึ่ก เป็นจังหวะที่ดูจับทางไม่ได้ แต่ผมก็ไม่แปลกใจหรอก หากคุณกำลังยืนอยู่ในสถานที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้า ที่นี่มีเด็กอายุตั้งแต่ห้าขวบ ไปจนถึงสิบเจ็ดขวบ พวกเขามาจากการไร้สภาพที่จะอยู่ การถูกทิ้งจากผู้ให้กำเนิด แผลไหม้จากสงครามและเศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งการยอมแพ้ที่จะมีชีวิตอยู่ เหตุใดเด็กเหล่านี้ต้องมาเจอเรื่องพวกนี้ หรือเพราะโลกยังหมุนต่อไป มหาสมุทรของมนุษย์จะยังหมุนเวียน ความยุติธรรมที่พวกเขาเอ่ยในใบโฆษณาชวนเชื่อเป็นเรื่องโกหก หรือจะเป็นเพียงการไม่ใส่ถุงยางอนามัย ผมคิดไปในขณะเงยมองฝ้าเพดาน

   ผมหลุดจากฟองสบู่ในหัวของผม และหันไปหาเธอตอนที่เธอวางเอกสารลงบนโต๊ะ ผมไม่แน่ใจว่าเธอใช้เวลาในการหานานไหม แต่ก็ทำให้ผมสร้างฟองสบู่ความคิดขึ้นมาหลายฟองทีเดียว ผมหันหลังและก้าวเดินไปหน้าเคาท์เตอร์ หยิบปากกาหมึกซึมสีดำพร้อมทรวดทรงที่ได้รับการออกแบบออกมา

   “อ้ะ อ้ะ “ มิสแอเดอลีนยกมือขึ้นมา ทำเสียงปากจึ๊กจั๊ก

    ผมเงยหน้ามองเธอและมือของเธอในขณะที่ผมกำลังจะเซ็นเอกสารนั่น ผมเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นมา และสายตาของผมต้องการคำตอบจากการกระทำของเธอ

    “แน่ใจแล้วสินะคะ” เธอพูดยิ้มๆ มือประสานกันแต่ดูหลวมจากความชรา  

    “แปลว่าคุณก็รู้ว่าเขาไม่ใช่เด็กทั่วไป” ผมมองหน้าเธอด้วยสีหน้าเรียบๆและกล่าวแค่นั้น ก่อนจะปรายตามองทะเลตัวอักษรบนกระดาษสีขุ่น ผมเห็นชื่อของเขา รวมไปถึงนามสกุลที่ถูกพิมพ์ด้วยหมึกสีน้ำเงิน และนามสกุลของเขาจะเปลี่ยนไปหากผมเซ็นบนเอกสารนี้ ถึงแม้วันนี้แมทธิวจะไม่ได้มากับผมก็เถอะ ผมแอบถอนหายใจตอนที่คิด ก่อนที่ผมจะจับปากกาอีกที และเซ็นชื่อของตัวเองลงไป หมึกสีดำตวัดเป็นตัวอักษรไปอย่างลื่นไหล เบาหวิว และบางเบา มันกล่าวถึงนามของผู้สร้าง ผู้เป็น ผู้ให้และผู้รับ

   มันกล่าวถึง ไรอัน มิคาเอล อลาสแตร์  

▶ Liam Eaton

 

 

liemehw11

 

ปัจจุบันจบการศึกษาแล้ว เมื่อปี 2017

 

Name : Liam Eaton (เลียม อีตัน)

Sex : ชาย

Age : 18 19          Blood status : เลือดผสม (ผู้วิเศษ-มักเกิ้ล)

Hogwarts : เรเวนคลอ ปี 7

Blood : A         H/W : 184  187 /78

DOB : 5/พค

Eyes :สีฟ้าอ่อน นัยต์ตาสีน้ำเงินเข้ม  Hair : สีน้ำตาลเข้ม

Pet : หมาพันธ์โกลเด้น  ชื่อ  shaw (ชอว์)

Patronous : นกอินทรีย์

Wand : ไม้ซีดาร์ เอ็นหัวใจมังกร ยืดหยุ่นได้ไม่แตกหัก ยาว 12 นิ้ว

woodcedar

liamdog

Bio :

เลียมเกิดที่เมือง Brighton แม่ที่เป็นมักเกิ้ลของเขาเสียชีวิตไปตอนเขาอายุ 5 ขวบ และพ่อแท้ๆของเขาหายตัวไปก่อนที่เขาจะเกิดเสียอีก เท่าที่จำความได้เขาก็มาอยู่ในบ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเสียแล้ว แต่ไม่นานก็มีชายสองคนมารับอุปการะเลียมไปเลี้ยง ทั้งคู่ดูแลเลียมอย่างดี และดูเหมือนเลียมก็มีความสุขกับครอบครัวของเขาเช่นกัน

   ครอบครัวปัจจุบันของเลียม มีพ่อที่เป็นผู้วิเศษทั้งคู่ ทั้งคู่นั้นเคยเรียนฮอกวอร์ต หลังจากจบมาก็อาศัยในโลกมักเกิ้ลที่ london และต่างฝ่ายต่างทำงาน

หลังจากนั้นพวกเขามีจุดประสงค์ที่ต้องการจะหาเด็กคนนึงมาเลี้ยง จึงไปที่สถานรับเลีัยงเด็กกำพร้า และพบเลียม แต่ในครู่นั้นเขาก็ได้พบว่าเด็กคนนี้มีความสามารถในการใช้เวทมนต์ พวกเขาจึงอุปการะเลียมมาเลี้ยง


  • เมื่อเขามีอายุ 11 ปี ก็ได้รับจดหมายจากฮอกวอร์ตและคัดเลือกให้อยู่บ้านเรเวนคลอ
  • ก่อนหน้านั้นเคยเรียนในโรงเรียนของมักเกิ้ล
  • ทำทุกอย่างเหมือนคนทั่วไป ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนต์อะไรและใช้เทคโนโลยีเป็นแต่เด็ก
  • เลียมไม่ได้อาศัยกับพ่อทั้งสองคน เขาแยกมาอยู่ในแมนชั่นแถวนอตติงฮิล เพียงเพราะความส่วนตัวเท่านั้น ส่วนพ่อของเขาอาศัยอยู่แถบถนนวิคตอเรีย เป็นร้านหนังสือที่ชั้นบนเป็นที่พักอาศัย

  • Personality : UPDATE *

        ดูเป็นคนสุขุม สบายๆและใจเย็น เป็นมิตร มีมารยาทและพูดจาสุภาพ 

        ถ้ามีเรื่องให้ช่วย เจ้าตัวก็ยินดีจะช่วยแต่ไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือใครตลอดเวล,า

        มีความจริงจัง และค่อนข้างจริงใจ ในบางเรื่องเขาจะดูจริงจังไปบ้าง

        ความสนใจค่อนข้างหลากหลาย ชอบเรียนรู้ไปทั่วในหลายๆอย่างและขยัน

–         ถึงจะใจดีคอยช่อยเหลือคนอื่น แต่ก็คงไม่ทำอะไรให้ตัวเองเดือดร้อนเท่าไร  

–          บางทีก็แอบชอบแหย่ ชอบแกล้งคนอื่นเล่น มีความขี้เล่นและมุมกวนประสาทในบางที 

–         มีความสันโดษและมุมส่วนตัวในบางคราว

–        จริงๆเป็นคนไม่ค่อยยอมใครเท่าไร แต่ก็จะใจเย็นไว้ก่อน

–         รักอิสระ มีมุมมองและความคิดที่ซับซ้อนในบางที

Like/Hobby

   อ่านหนังสือ ฟังเพลง เดินเล่น วิ่งออกกำลังกาย  เล่นกับหมา/สัตว์ (บางวันก็อาจจะเจอวิ่งกับชอว์อยู่)

–     เล่นดนตรี (และร้องเพลง ) CV : Blaine Anderson (Darren Criss) from Glee  จิ้ม <<

  •  เครื่องดนตรีที่เล่น : กีตาร์(และกีตาร์ไฟฟ้า)+ เปียโน-ออร์แกน (รวมถึงคีย์บอร์ดซินธิไซเซอร์ ) และ Launch Pad ในอนาคตมีแผนว่าจะฝึกเล่นอย่างอื่นด้วย
  • เขายังแต่งเพลงในบางที

–     อากาศดีๆ ธรรมชาติ 

–      กลิ่นกาแฟ ,กาแฟ / แต่หลังๆก็เหมือนจะกินน้อยลง

ผลไม้ที่ชอบ : ผลไม้ตะกูลเบอร์รี่ เช่น สตอว์เบอร์รี่

–     

Dislike 

  •  การดูถูก การถูกรบกวนมากเกินไป หรือ คนที่ดูไร้มารยาทจนเกินไป

ชุดไปรเวท :

lianpri1

ETC 

  • ความสนใจค่อนข้างหลากหลาย
  • ในเรื่องสัญชาติถือว่าเป็นบริติช
  • ไม่กลัวความสูง
  • เก่งการใช้คาถาไร้เสียง
  • ไม่ได้อยากทำอาชีพนักดนตรีแบบจริงๆจังๆ หรือง่ายๆคือเขาคงจะเป็นนักดนตรีอิสระ
  • มีมุมที่ไม่เข้าใจในบางสิ่งและสงสัยกับเรื่องเล็กๆ
  • ทุกอย่างที่เขาคิดหรือบอกไปนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอด
  • มีบ้านอยู่ลอนดอนสองที่ อีกที่เป็นร้านหนังสือชั้นของพ่อ
  • ส่วนอีกที่เป็นแมนชั่นแถบนอตติงฮิลล์ เป็นที่พักส่วนตัวของเขา
  • และที่สุดท้ายอยู่ที่ไบร์ทตัน
  • โดยรวมแล้วก็เป็นคนธรรมดา

 

Twitter : EHW_Liam

Ps. He Already has someone